เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๓ เม.ย. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑๓ เมษายน ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้เป็นวันสงกรานต์ วันสงกรานต์เขาให้เป็นวันครอบครัวเนาะ วันครอบครัวนี้เป็นทางโลกเขาตั้ง แต่ถ้าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ครอบครัวใหญ่ที่สุดคือในหัวใจของเรา เพราะเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “จิตนี่มันเกิดตาย! เกิดตาย!” คน ๆ หนึ่ง จิตดวงหนึ่ง ถ้าเอาซากศพที่เคยเกิดเคยตายมาไว้นี่ ล้นโลกธาตุนี้เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนอดีตชาติไป มันไม่มีวันที่สิ้นสุด นั้นจิตหนึ่งนี่ จิตหนึ่งมันเกิดตาย!เกิดตาย! นี่สถานะที่ได้มา เหมือนตำแหน่งหน้าที่ เราเปลี่ยนตำแหน่งหน้าที่ตลอดเวลา ตำแหน่งหน้าที่มันคือชีวิตหนึ่ง! ชีวิตหนึ่ง! ชีวิตหนึ่ง!

นี่วันครอบครัว ถ้าจิตตัวนี้มันเป็นครอบครัวของมันเห็นไหม นี่ครอบครัวของเรา ถ้าอบอุ่น เราจะมีความสุขพอสมควรในครอบครัวของเรา ดูสิ เรามาวัดมาวานี่ก็เป็นครอบครัวหนึ่งนะ เราเป็นหัวหน้าครอบครัว มีคนถามบ่อยมาก

“หลวงพ่อ! เหนื่อยไหม”

“โคตรเหนื่อยเลย...!! ไม่ได้ทำอะไรเลยนะ แต่เหนื่อยมาก”

เพราะความรับผิดชอบใช่ไหม คนเราความรับผิดชอบในหัวใจ ทุกข์มาก!! ดูสิ ในครอบครัวของเรา ถ้ามีความร่มเย็นเป็นสุข เราจะมีความสุขมากเห็นไหม เวลาอาบเหงื่อต่างน้ำ ทำการทำงานเป็นเรื่องหนึ่ง เวลาเราทุกข์ยากในลูกหลานของเรา ในครอบครัวของเรานั่นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เห็นไหม ทุกข์กายทุกข์ใจ เวลาทุกข์กาย อาบเหงื่อต่างน้ำ...มันพักมันก็หายเหนื่อย... เวลามันทุกข์ใจ มันไม่รู้จักหายเหนื่อยนะ

นี้วันครอบครัว รัฐบาลเขาตั้งขึ้นมาเป็นวันครอบครัว ให้ครอบครัวไปวัดไปวา ให้ครอบครัวมีความอบอุ่นต่อกัน นี่ในครอบครัวมีความอบอุ่นต่อกันเห็นไหม ความอบอุ่นต่อกันมันมาจากไหนล่ะ ทำไมจะเกิดศีลธรรม จริยธรรม

หน้าที่ของพ่อแม่ พ่อแม่ก็อยากให้ลูกมีความสุข บางคนพ่อแม่ก็มีความจำเป็น เขาทิ้งลูกเขานะ เขาเอาลูกไปทิ้ง เวลาเขาทิ้งลูกมันมีน้อยก็จริงอยู่ เวลาเขามีความจำเป็นขึ้นมา

แต่โดยธรรมชาติของสัตว์ แม้แต่สัตว์เดรัจฉานมันยังรักลูกของมันเลย มนุษย์จะไม่รักลูกของมันเป็นไปไม่ได้หรอก ทุกคนจะรัก แต่ความรักอันนี้เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” เราก็ไม่เชื่อ โอ๊ย! ที่ไหนมีรัก... มีรักที่มีความสุข เพราะมีความรัก มีความถนอมรักษา มีความสุขทั้งนั้น

แต่ที่ไหนมีรัก ที่นั่นมีทุกข์ มีรักเพราะอะไร เพราะเรากังวล ทุกข์ร้อน มันเป็นความทุกข์อันหนึ่ง แต่ความทุกข์อันนี้มันเป็นอริยสัจ มันเป็นความจริง มันเป็นความจริงที่มันต้องมีอย่างนั้น ไม่ใช่ว่าเรามีความรัก แล้วถ้าเราจะไม่ทุกข์ เราจะไม่รักเลย

ความรักมันเป็นสัญชาตญาณที่มันผูกพันกันมา แต่ถ้ามันมีธรรมขึ้นมา เราก็เมตตา จากรัก... เมตตา... รัก... ถนอมรักษา... รัก...ผูกพัน ความรักเมตตา ความเมตตากรุณาเห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมตตาคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางหลักธรรมและวินัยไว้

ดูสิ มนุษย์เห็นไหม มนุษย์เกิดมาเป็นสัตว์สังคม ต้องอยู่ ต้องอาศัยต่อกัน แต่มนุษย์ก็มีการเบียดเบียนกันเป็นธรรมดา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดไว้ในธรรม สัตว์มันยังมีอิสรภาพของมัน มันเป็นไปตามธรรมชาติของมัน แต่มันก็มีกฎกติกาของมัน กฎธรรมชาติของมัน ที่ทำการดำรงชีวิตของมัน แต่เราเป็นมนุษย์เห็นไหม เป็นมนุษย์ เพราะว่าความคิดของมนุษย์มันจินตนาการไว้เพริศแพร้วนัก ฉะนั้นต้องมีกฏกติกา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “มนุษย์น่ะโง่กว่าสัตว์ เพราะว่าเขียนกฎกติกากันไว้ เหมือนโซ่ตรวนที่คล้องไว้” เราจะลิดรอนสิทธิ์คนอื่นไม่ได้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ แต่สิทธิเสรีภาพของเราจะไม่ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนอื่น เขาก็มีสิทธิเสรีภาพของเขา ในความเป็นอยู่ของเขา แต่ความคิดจินตนาการในหัวของเขานี่ เราจะไปควบคุมเขาไม่ได้

แต่ศีลธรรมจริยธรรมมันควบคุมได้ เพราะมันมีความละอาย มีความเกรงกลัวใช่ไหม เราคิดว่าสิ่งนั้นผิด ถูกต้อง ชั่ว ดีงามเห็นไหม เราควบคุมตัวเราเองไง

ถ้า“สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะโภคะสัมปะทา” ...ศีลทำให้เรามีความสุข

ศีลเห็นไหม เราถือศีล ๕ เราไม่เบียดเบียนใคร เราไม่พูดโกหกใคร เราไม่จาบจ้วงใคร ใครมันจะมารังแกเราล่ะ เพราะอะไร เพราะเรามีศีล ศีลคุ้มครองเราเห็นไหม ผู้มีศีลมีธรรม ศีลธรรมจะคุ้มครองเรา ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ ถึงเวลามันถึงคราวเคราะห์คราวกรรม มันเรื่องของกรรมนะ ถ้ามีศีลขึ้นมานี่ ศีลธรรมเท่านั้นที่จะมาควบคุมความคิดของมนุษย์

ถ้าความคิดของมนุษย์ ประเพณีวัฒนธรรมเห็นไหม เวลาสงกรานต์ โอ้โห!ไปกันทีเขาต้องตั้งด่านนะ เพราะแห่กันไปหมดเลย เพราะสงกรานต์ไปพร้อมกันหมด เพราะวัฒนธรรมไง มีวัฒนธรรมอันเดียวกัน มีความเชื่ออันเดียวกัน มันก็เป็นเรื่องของโลก

ถ้าครอบครัวมีความสุข ก็มีความสุขอยู่ แต่ครอบครัวของเราล่ะ จิตใจของเราล่ะ “พุทธะ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน” หัวใจของเรา ครอบครัวนี้ ครอบครัวที่มันเกิดมันตายมา มันจะไปของมันเอง เราถนอมรักษาอย่างไร ถ้าครอบครัวนี้รักษาได้นะ ครอบครัวของเรารักษาได้เพราะอะไร เพราะเรามีศีลธรรมจริยธรรม เรารู้ถึงกระบวนการความคิดของเรา

“จากใจดวงหนึ่ง...สู่ใจดวงหนึ่งนะ” ใจดวงนี้มันได้กระบวนการของมัน ได้ถนอมรักษาไว้แล้ว ใจลูกหลานเราเป็นอย่างนี้หมดเลย เด็กมันคิดอย่างนี้... วัยรุ่นมันคิดอย่างนี้... ผู้ใหญ่มันคิดอย่างนี้... เพราะเราเป็นอย่างนี้มาก่อน ถ้าเราเป็นอย่างนี้มาก่อน เราจะควบคุมเขาอย่างไรเห็นไหม เพราะอะไร เพราะเรารู้ใจของเรา ถ้ารู้ใจของเขา เรารู้ใจของเรา ถ้าใจของเขาถึงเวลาแล้วเราจะถนอมรักษา เราจะใช้อุบายอย่างไร เพื่อจะดูแลลูกหลานของเรา ให้มันไปในทางที่ถูกที่ต้อง

ถ้าเด็กวัยรุ่นของเรามันมีความคิดของมัน รุนแรงของมัน เพราะพลังงานของมันเหลือใช้ใช่ไหม เขาจะให้เล่นกีฬากันเห็นไหม ถ้าเล่นกีฬาก็ผ่อนกำลังนั้นออกไป แต่พอเราโตขึ้นมานะ ให้เล่นกีฬาก็ไม่ไหวแล้ว นั่งเฉย ๆ ก็ปวดหลัง ลุกคนเดียวก็ไม่ไหว กระดูกมันกรอบหมดแล้ว เล่นกีฬามันก็ไม่ไหว พออายุมากขึ้นมามันก็เป็นแบบนี้ นี่ผู้เฒ่า!

ทางวัฒนธรรมของทางพุทธเรานะ นับถืออาวุโส นับถือผู้เฒ่า นับถือผู้ผ่านโลกผ่านวัยมา เขาจะคอยเตือนเรา แต่เด็กน้อยมันก็มีความคับข้องใจเป็นธรรมดา จะขยับเป็นผิดไปหมดเลย ขยับเป็นผิดไปหมดเลย มันจะผิดหรือมันจะถูก เวลาเราโตขึ้นมา เราก็จะสอนลูกหลานเราอย่างนั้นล่ะ เพราะอะไร เพราะว่าพลังงานมันเหลือใช้มาก พลังงานมันเต็มที่มากเห็นไหม นี่ความเห็นในครอบครัวของเรา

ฉะนั้นทางรัฐบาล วันครอบครัวให้ไปวัดไปวา ไปฟังธรรม ฟังธรรมขึ้นมา ธรรมของใครล่ะเห็นไหม นี่หน้าที่ของเด็ก หน้าที่ของผู้ใหญ่ หน้าที่ของต่าง ๆ มันความรับผิดชอบแตกต่างกันไป หน้าที่รับผิดชอบต่างคนต่างทำหน้าที่รับผิดชอบของตัว ให้สมกับหน้าที่ของตัว คืนความเป็นมนุษย์ให้เรา

มนุษย์! มนุษย์มันมีค่าเท่ากัน ถ้ามีค่าเท่ากันเพียงแต่มันต่างกาล ต่างเวลา ต่างวัยกัน วันเวลาและวัยมันปิดปัญญานี้ไว้ พอโตขึ้นมาเป็นผู้แก่ผู้เฒ่ามีปัญญามหาศาลเลย มันก็ถึงคราวจะต้องพลัดพรากอีกแล้ว ถึงคราวจะต้องได้แสวงหาที่เกิดใหม่แล้ว เพราะมันต้องพลัดพรากจากจิต พลัดพรากจากร่างกายนี้ไป

ถ้าร่างกายเราแข็งแรงขึ้นมาจะอยู่อีกกี่กัปก็ได้ แต่ถึงเวลาชราภาพขึ้นมาร่างกายเบื่อหน่ายมาก เวลาคนเราอยากมีชีวิตอยู่ แต่คนจะทุกข์เวลาเจ็บไข้ได้ป่วย เบื่อหน่ายมาก อยากจะเสียสละ อยากจะไปเสียที แต่ไปสักทีมันเสียสละไม่ได้ เพราะมันเสียสละแต่ร่างกายนี้ หัวใจมันเสียสละไม่ได้

แต่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ภวาสวะภพ ภพคือฐานของความคิด ฐานของการเกิด มโนวิญญาณเห็นไหม เวลามันพาเกิดพาตาย ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ย้อนกลับมาที่นี่

เราไปไหนมาเราต้องกลับบ้านเรานะ เพราะบ้านเป็นที่พึ่งอาศัยของเรา ความคิดมาจากไหน... มาจากจิตทั้งหมด แล้วจิตมันอยู่ที่ไหน ถ้าจิตมันอยู่ที่ไหน ย้อนกลับมาที่นี่ ถ้าย้อนกลับมาที่นี่นะ ไม่มีวัย นี่ธรรมะไม่มีเวลา ไม่มีกาล “อกาลิโก”

อกาลิโกเห็นไหม เขาบอกว่า ๕,๐๐๐ ปี ธรรมะจะหมดไป ไม่หมดหรอก! ถ้าธรรมะหมดไป พระศรีอริยเมตไตรยมาตรัสรู้ได้อย่างไร อนาคตวงศ์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาตรัสรู้อีกมหาศาลเลย มันจะตรัสรู้ได้อย่างไร นี่มันไม่มีกาล ไม่มีเวลา ไม่มีวัยเลย

แต่...แต่ในสมมุติไง ในสมมุติบัญญัติ ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บอกอีก ๕,๐๐๐ ปี! อีก ๕,๐๐๐ ปี! ดูสิ ดูสภาพแวดล้อมเห็นไหม พอสภาพแวดล้อมคนมากขึ้น ทุกอย่างทำลายสภาวะแวดล้อมมากขึ้น สภาวะแวดล้อมมันก็เปลี่ยนไป

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตใจคนมากขึ้น มีการศึกษามากขึ้น ต่างคนต่างมีปัญญามากขึ้น ต่างคนต่างไม่เชื่ออะไรเลยนะ เชื่อแต่ความรู้ของตัว ความรู้ของตัวก็ความรู้ของกิเลสไง มันบอกนรก สวรรค์ไม่มี อะไรก็ไม่มี เกิดมาก็ตายหมดอ่ะ นี่เกิดมาคนก็ตายหมด ตายแล้วก็แล้วกันไป แล้วกันไป เวลาเกิดขึ้นมา เวลาเรามีความคับข้องใจขึ้นมา ทำไมคนนั้นเขาดีกับเราล่ะ ทำไมคนนั้นเขาควบคุมใจเราได้ล่ะ ทำไมหัวใจเราเป็นอย่างนี้ล่ะ ก็นี่ไง เกิดแล้วก็ตาย เกิดแล้วก็สูญไง เกิดแล้วก็สูญมันก็หมดไป พันธุกรรมทางจิต!!

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย คำว่าอสงไขยนับไม่ได้ การเกิดการตายนี่ พันธุกรรมของการเปลี่ยนแปลงมา ทำบุญกุศลของเรานี่ ที่ว่าตายแล้วสูญ! ตายแล้วสูญ! ถ้าตายแล้วสูญ ไม่ต้องทำอะไรเลย ตามแต่ตามแต่ใจของตัวคิด

แต่ถ้ามีนรก สวรรค์ มีคุณงามความดี ที่เราทำแล้วมันจะตกอยู่ในหัวใจของเรา เราทำบุญเพื่อคุณประโยชน์ของเรา นี่พันธุกรรมทางจิต จิตไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป ถ้าเปลี่ยนแปลง จิตที่มีคุณงามความดี จิตที่เสียสละ จิตที่มีความดี มันเบา... มันเบา...เพราะมันโล่ง มันโถง เห็นไหม

ของเบามันจะลอยอยู่สูง ของหนักจะลงต่ำ ตายแล้วสูญนะ ไม่ต้องทำสิ่งใดเลย ทำแต่ความพอใจของตัว นี่ระรานชาวบ้านเขาทั่วไป ทำอะไรก็ได้เพื่อประโยชน์กับเราเห็นไหม จิตใจมันต่ำต้อย จิตใจมันต่ำเพราะอะไร จิตใจมันต่ำเพราะมันระรานเขา มันมีแต่ความโทสะ มันมีแต่อะไรสะสมในหัวใจของมัน

เวลาตายมันจะไปไหนล่ะ ทีนี้พอเวลามันตาย มันละจากสังขารนี้ไปใช่ไหม ละจากร่างกายนี้ไป แต่จิตไม่เคยตาย...! พอจิตไม่เคยตายมันก็ไปเกิดใหม่ พอเกิดใหม่ขึ้นมาก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน อ้าว! ทำไมคนนั้นเขาดีกว่าเรา คนนี้เขาชั่วกว่าเราล่ะ อ้าว! ดีกว่าเรา ชั่วกว่าเรา ก็ทำมาทั้งนั้นล่ะ ทุกคนทำของตัวเองมา

ถ้าทุกคนไม่ทำตัวของตัวเองมา พ่อแม่คนไหนบ้างไม่อยากให้ลูกของตัวเป็นคนดี พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเป็นคนดี อยากให้ลูกมีสถานะทั้งนั้น แต่ลูกทำไมไม่เท่ากัน ความคิดยังไม่เหมือนกัน ทำไมมันขยันหมั่นเพียรแตกต่างกัน มันแตกต่างกันก็เพราะมันทำมานี่แหละ... มันทำมา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ย้อนกลับมานี่ไง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว แต่ทำดีได้ดี...ดีมหาศาล ดีเพื่อเราไง เราเสียสละ เราทำคุณงามความดีของเรา ความดีอันนี้มันเบาเห็นไหม เราเสียสละ คนเขาจะติฉินนินทา คนเขาจะว่าเราไม่ทันโลก แต่ใจเรารู้เห็นไหม นี่ความดีอันนี้ ดีเพื่อใจเรา

พอดีเพื่อใจเรา พอเราเกิดมาอีกสถานะหนึ่งเห็นไหม เราฉลาด เรามีปฏิภาณไหวพริบ เพราะเราทำดีมา!! ก็เราทำของเรามา!! แต่คนที่ดักดานของมัน ก็มันทำของมันมา!! มันทำของมันมา!! แล้วบอกจะให้มันเหมือนกัน

เวลาไปโรงเรียน ครูบาอาจารย์เขาสอนให้เหมือนกันทั้งนั้น ตำราก็เล่มเดียวกันทั้งนั้น ครูคนเดียวกันนั้นน่ะ แต่ทำไมศึกษามันไม่เท่ากันล่ะ ไม่เท่ากันเพราะจิตของมันไง นี่ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถึงที่สุดแล้วมันทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ละเอียดอ่อนในใจของเรา เราต้องทำคุณงามความดีนะ

แต่เราไปคิดกันนะ... ทำคุณงามความดี คนต้องยกย่องสรรเสริญ... ไม่มีหรอก!! มนุษย์ไม่ยอมรับมนุษย์ด้วยกันง่าย ๆ หรอก แม้แต่บุญบารมีของเขา เต็มที่ของเขา ดูสิ เราได้ยินกิตติศัพท์ กิตติคุณ “คนนั้นเป็นคนดี” “คนนี้เป็นคนดี” เรายอมรับเขาไหม...? เราไม่เคยเห็น ดีก็ดีของเขา ไม่ใช่ดีของเรา นี่ความดีของมนุษย์

แต่ถ้าดีเพื่อเราเห็นไหม ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีทิ้งเหว นี่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก “บุญที่มีกุศลที่สุด คือ โยนลงเหว” ทำบุญแล้วก็คือแล้วกันไปไง ทำบุญแล้วคือความดีทั้งหมด แต่นี่ทำความดีแล้วนะ นี่ทำดีแล้วไม่ได้ดีเลย ตักบาตรทุกวันเลย ทำแต่บุญกุศล ทำไมคนติฉินนินทา ทำไมมีแต่คนรังแกเบียดเบียนตลอดเวลา

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลยนะ “เราตถาคต เป็นศาสดา ถ้าใครโดน โลกธรรม ๘ มากน้อยขนาดไหน อย่าเพิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ ให้ถือเราองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง” เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ เขาจ้างคนมาด่า เขาจ้างคนมาฆ่า

เทวทัตให้นายแม่นธนู ๔ คนไปยิงพระพุทธเจ้า เทวทัตหลอกอชาตศัตรู อชาตศัตรู ให้นายแม่นธนู ๔ คนไปยิงพระพุทธเจ้า แล้วให้ ๔ คนนั้นไปยิงนายแม่นธนูอีกต่อหนึ่ง ตัดตอนกันมาตลอดเลยนะ พอนายแม่นธนูนั้น จะไปยิงพระพุทธเจ้าครั้งแรก พระพุทธเจ้ารู้ก่อน พระพุทธเจ้าเรียกเข้ามาเทศน์โปรด เทศน์ ๔ คนนี้บวชแล้วได้สำเร็จ ไอ้ ๔ คนจะยิง ก็รอ ทำไมไม่มาสักที่ ก็ตามเข้าไปเจอ พระพุทธเจ้าเทศน์สอนอีก! สอนอีก! สอนอีก!... ๑๖ คนนะ จะไปฆ่าพระพุทธเจ้านี่ จะกลั่นแกล้งพระพุทธเจ้า โดนมาทุกอย่างเลย ดูในพระไตรปิฎกสิ เห็นไหม แล้วก็ว่า ทำดีได้ดี... ทำดีได้ดี

ทำดีได้ดี... พระพุทธเจ้าเป็นศาสดา ทำไมคนเขาติฉินนินทาทั่วโลกทั่วสงสาร แต่ถึงที่สุดนั้นมันเป็นเรื่องของกรรม คนทำชั่วมันก็คือชั่วเห็นไหม จิตใจที่เขาสร้างมาอย่างนั้น แต่พวกเราเชื่อถือศรัทธา พวกเราเคารพบูชาของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา รู้!! อนาคตังสญาณ รู้ว่ากรรมที่สร้างสั่งสมมาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ระหว่างพระเวสสันดรกับชูชก มีปัญหากันมา มีเวรมีกรรมกันมาตลอด เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว เขาก็ยังมีเวรมีกรรม เขาก็ยังดักดานของเขา เขายังทำกรรมของเขาไป แต่เทวทัตเขายังได้สติ เขายังระลึกตัวของเขาได้นะ ไอ้เรานี่เห็นไหม ระลึก ๆ ได้ไหม เราทำคุณงามความดีได้ไหม เรามีสติปัญญาของเราได้ไหม

นี่วันนี้เป็นวันสงกรานต์ วันครอบครัว เราไปดูครอบครัวจากข้างนอกนะ ดูครอบครัว.. ความคิดหนึ่ง... จิตหนึ่ง ...เกิดรอบหนึ่ง วันหนึ่งเกิดเป็นพัน ๆ หน วันหนึ่งนี่ลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมืองเลย แล้วลูกหลานเราจะรักษาอย่างไร ดูแลอย่างไร ครอบครัวข้างนอกก็รักษานะ

เราเกิดมานี่ เราเป็นสัตว์สังคม อยู่ด้วยกันก็ดูแลรักษา พยายามทำดีที่สุด แล้วก็รักษาในใจเราด้วย ถ้าเราทำดีกับเขาแล้ว เราพยายามทำกับเขาแล้ว เขาไม่เข้าใจเรา เขาฟังเราไม่ได้ เขาฟังเราไม่รู้เรื่อง อันนั้นก็อุเบกขา กรรมของสัตว์

ทำดีแค่นี้เขายังไม่รู้จักความดีเลย แล้วเราจะทำดีเพื่อใคร ก็ทำความดีเพื่อเรา ทำดีเพื่อใจเรานะ ถ้าทำดีเพื่อใจเรานี่ พันธุกรรมทางจิต มันได้แก้ไข มันได้เปลี่ยนแปลง แล้วเวลา เกิดใหม่จะได้ไม่เสียใจว่า ทำไมคนโน้นดีกว่าเรา คนนี้ไม่ดีกว่าเรา ถ้าเราทำของเราแล้วนี่ มันต้องดี มันต้องดีคือมันเข้าใจตัวมันเอง

เราจะวัดกันด้วยนิ้วมือก็ไม่เท่ากัน คนเราเกิดมาก็ไม่เท่ากัน สิ่งใด ๆ ไม่มีอะไรเท่ากันสักอย่างหนึ่งเลย แต่หัวใจเวลาสิ้นกิเลสแล้วเป็นพระอรหันต์เท่ากันหมดเลย เป็นพระโสดาบันก็เท่ากันที่พระโสดาบัน เป็นสกิทาคามี อนาคามี ก็เท่ากันที่สกิทาคามี อนาคามี เพราะวุฒิภาวะมันเต็มเปี่ยมของมัน เห็นไหม

นี่ภราดรภาพ เสรีภาพ เสรีภาพเกิดจากจิตนี้พ้นจากการกดถ่วงของกิเลส ภราดรภาพของใจที่มันพ้นจากการกดถ่วงของจิตนี้ มันประเสริฐที่สุด องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ย้อนกลับมาที่นี่ แก้ไขกันที่นี่ แล้วเราจะมีความสุขของเราที่นี่ เพราะเราเชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นชาวพุทธ เรามีศาสนาประจำใจ เราไม่มีศาสนาประจำทะเบียนบ้าน เรามีศาสนาประจำใจ แล้วเราก็รื้อค้นของเราเพื่อศาสนา ให้เป็นธรรมในหัวใจของเรา เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง